ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP
ผลของการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม 
              เสื้อผ้าที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม  นอกจากจะมีความนุ่มแล้วยังได้รับคุณสมบัติอื่นๆ ทั้งผลดีและผลเสียกับผู้สวมใส่และกับเนื้อผ้าตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
             1. ผลดีของน้ำยาปรับผ้านุ่ม 
                    1) ให้ความรู้สึกที่ดีเวลาสัมผัสเสื้อผ้า (Effects on fabric hand)  ช่วยไม่ให้ผ้ากระด้างโดยเห็นผลทันที และให้ความรู้สึกที่ดีเวลาสัมผัสเสื้อผ้า  โดยปัจจัยที่มีผลทำให้เนื้อผ้ากระด้างนั้นแสดงไว้ในตารางที่ 1 ผ้าขนหนูที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มจะถูกเคลือบด้วยสารประกอบควอเทอนารีแอมโมเนียม (quaternary ammonium compounds)  ส่วนที่ไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) ทำให้หยดน้ำต่างๆ ไม่สามารถดึงเส้นด้ายให้มารวมกันในเวลาที่ผ้าแห้งลง ปุยขน (nap) ยังคงอยู่กันอย่างหลวมๆแต่หนา และทําให้ผ้าขนหนูดูพองฟูและน่าสัมผัสอีกทั้งยังทำให้ผ้านุ่มฟู (bulk or fluffiness) อีกด้วย
 
ตารางที่ 1   ปัจจัยที่มีผลทำให้เนื้อผ้ากระด้าง 
 

เครื่องซักผ้า

น้ำกระด้าง

ผงซักฟอก

ไฟฟ้าสถิต

การตากผ้า   บนราว

เครื่องอบผ้า

++++

+++

+

+++

++

+

 
                    2) ช่วยลดไฟฟ้าสถิต (static cling or static electricity) ไฟฟ้าสถิตเป็นปัญหาหลักของผ้าใยสังเคราะห์ เช่น พอลิอามีด (polyamide)  การลดไฟฟ้าสถิตของเนื้อผ้า เกิดจากสารประกอบของควอเทอนารีแอมโมเนียม ดูดซึมโมเลกุลของน้ำ 2-3 โมเลกุลที่ผิวหน้าของเนื้อผ้า  ความสามารถในการดูดความชึ้น (hygroscopic) หมายถึง การดูดโมเลกุลของน้ำได้โดยตรงจากอากาศ  ผ้าที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มจึงเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีขึ้น  ซึ่งตัวนำไฟฟ้าจะลดการสะสมของไฟฟ้าสถิตบนเนื้อผ้าและกำจัดไฟฟ้าสถิตไปในตัวด้วย  ในเครื่องอบผ้าที่ไม่มีน้ำยาปรับผ้านุ่ม  ผ้าจะถูกันไปมาทำให้เกิดประจุไฟฟ้าบนส่วนต่างๆ ของผ้าและเกิดแรงจากไฟฟ้าสถิต(electrostatic forces) อย่างไรก็ตาม  ผ้าที่มีน้ำยาปรับผ้านุ่มจะมีสารเคลือบทำให้ไม่เกิดการขัดสีที่แรงไป  จึงเกิดประจุไฟฟ้าสถิตน้อยกว่าและกระจายหายไปอย่างรวดเร็วกับไอน้ำในอากาศที่ถูกน้ำยาปรับผ้านุ่มดูดไว้
                    3) ให้กลิ่นที่ดีกับเสื้อผ้า  (bring good odor)   ช่วยกำจัดกลิ่นตัวและกลิ่นอับชื้นที่ติดผ้า น้ำหอมที่มีในน้ำยาปรับผ้านุ่มนอกจากจะช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่ดีแล้วยังให้กลิ่นที่ดีกับเสื้อผ้า บางกรณีกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่ม อาจติดผ้าเป็นเวลานานๆ และให้กลิ่นหอมที่เลือกได้เป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค สารประกอบในน้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยให้น้ำหอมกระจายตัว (solubilize) และติดบนผ้าดีขึ้น 
                    4) ช่วยรักษารูปทรงของเสื้อผ้า (dimensional stability) ช่วยให้การรักษารูปทรงของเสื้อผ้าดีขึ้น ช่วยรักษาลักษณะภายนอกต่างๆ (appearance) ของเสื้อผ้า เช่น ลดการหดตัว (shrinkage) ของผ้า 
                    5) ช่วยลดรอยยับย่น (wrinkle recovery)  ช่วยลดรอยยับย่นให้ผ้าฝ้าย 100% และผ้าพอลิเอสเตอร์ผสมฝ้าย (polyester/cotton) หลังจากการซักผ้า ให้ความเรียบเนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มมีคุณสมบัติเป็นตัวหล่อลื่น (lubrication) จึงทำให้การรีดผ้าทำได้ง่ายขึ้น (ironing ease) 
                    6) ช่วยกำจัดคราบ (stain release) ทำให้คราบสกปรกที่ติดตามเสื้อผ้าสามารถซักออกได้ง่ายโดยน้ำยาปรับผ้านุ่มบนเส้นใยผ้าจะเป็นตัวป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกมาติดบนผ้า (antisoiling agents) เช่น น้ำมันที่ฝังคราบลงไปในใยผ้า สิ่งสกปรกนี้จะเคลือบอยู่ที่ผิวหน้าผ้าเท่านั้น และทำให้ซักออกได้ง่ายขึ้น      
                    7) ช่วยให้ผ้าแห้งเร็วขึ้น  ช่วยลดเวลาในการตากผ้า  เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มทำให้ผิวหน้าของผ้ามีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic)  ดังนั้นผ้าจึงแห้งง่ายขึ้น  ในขณะปั่นไล่น้ำออกจากเครื่องซักผ้าหรือเวลาอบผ้าให้แห้งหรือเวลาตากผ้า
 
              2. ผลเสียของน้ำยาปรับผ้านุ่ม 
                    1) ลดความสามารถในการดูดซับน้ำ/เหงื่อ (absorbency)   ความสามารถในการดูดน้ำ (rewetting)  เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของคุณลักษณะในการดูดซับน้ำ/เหงื่อของผ้า  ผ้าขนหนูที่เคลือบด้วยส่วนที่ไม่ชอบน้ำของสารประกอบในน้ำยาปรับผ้านุ่มจะลดความสามารถในการดูดซับน้ำ/เหงื่อ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผ้าฝ้ายที่ใช้ทำกางเกงผ้าอ้อมเด็ก ถ้าไม่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มมากเกินไป  ผ้าจะยังสามารถดูดน้ำได้ทั้งๆที่มีสายโซ่ของส่วนที่ไม่ชอบน้ำ(hydrophobic)  ถ้าใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มมากเกินไป จะทำให้ผ้าเปลี่ยนคุณสมบัติเป็นผ้าที่ไม่ดูดซับน้ำ/เหงื่อ (waterproof fabric) เช่น ผ้าเช็ดตัวผ้าฝ้าย ผ้าอ้อมและผ้าพอลิเอสเตอร์ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเวลาอากาศร้อน(thermal discomfort) ซึ่งเกิดจากความสามารถในการส่งผ่านไอน้ำ(water vapor transmission) และการซึมผ่านอากาศ (air permeability) ของผ้าฝ้ายและผ้าใยสังเคราะห์ลดลง   โดยเฉพาะเมื่อจำนวนครั้งของการซักมากขึ้น(หลังซัก 15 ครั้งในผ้าใยสังเคราะห์)  ทั้งนี้เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มไม่ได้ถูกกำจัดให้หมดหลังการซักครั้งต่อไป ทำให้มีการสะสมของน้ำยาปรับผ้านุ่มบนผ้าเมื่อใช้เป็นประจำ 
                    2) ลดความแข็งแรงของผ้า (fabric strength)  การไม่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหลังการซักผ้าจะช่วยรักษาความแข็งแรงของผ้าไว้ได้ดีกว่าการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยสังเกตจากค่าแรงดึงของผ้าทอ (tensile strength) และค่าแรงดึงของผ้าถัก (bursting strength) ที่ลดลง  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มทำให้ความแข็งแรงของผ้าลดลง
                    3) ทำให้เกิดเม็ดขน (pilling) การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มไม่ว่าจะใช้มากหรือน้อยก็ตามจะเพิ่มปุยขน(nap) ขึ้นบนผิวหน้าของผ้าขนหนูผ้าฝ้าย  เส้นด้ายของผ้าฝ้าย  ปกติจะชอบน้ำ (hydrophilic) และเกาะกันแน่นกับหยดน้ำ  เมื่อหยดน้ำแห้งก็จะหดตัวและดึงเส้นด้ายเนื้อฝ้ายเข้าหา ส่วนผ้าขนหนูที่ไม่ได้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม  เมื่อผ้าแห้ง  เส้นด้ายจะถูกกดเข้าด้วยกันและเกิดปุยขนเล็กๆ  ดังนั้นการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มจะทำให้เกิดเม็ดขนที่ใหญ่และนุ่มกว่าการไม่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยเสื้อไหมพรมสามารถเกิดเม็ดขนที่ใหญ่ขึ้นได้ (formation of bigger pills)
                    4) ลดความขาว (reduce fabric whiteness) การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหลังการซักผ้าจะทำให้ความขาวของผ้า (whiteness) ลดลง  ถ้าใช้เป็นประจำและมีการสะสมของน้ำยาปรับผ้านุ่มก็อาจทำให้ผ้าเหลือง โดยเฉพาะกับผ้าขนหนูผ้าฝ้าย 100%  ผลที่เกิดขึ้นนี้สามารถเห็นได้ภายหลังจากการใช้เพียง 4  ครั้งเท่านั้น
                    5) เพิ่มความสามารถในการติดไฟ (flammability) การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นประจำจะเพิ่มความสามารถในการติดไฟและทำให้ผ้าติดไฟเร็วขึ้นทั้งผ้าฝ้ายและผ้าใยสังเคราะห์  แต่ผ้าส่วนใหญ่ที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณที่กำหนดยังมีค่าไม่เกินระดับที่กฎหมายในต่างประเทศกำหนดไว้  ซึ่งมียกเว้นในผ้าฝ้ายบางชนิด  ความสามารถในการติดไฟเป็นประเด็นสำคัญของเสื้อผ้าและอุตสาหกรรมสิ่งทอมากเนื่องจากเป็นอันตรายกับร่างกายและทำให้ผ้าเสียคุณสมบัติ  ความสามารถในการติดไฟของผลิตภัณฑ์สิ่งทอและของเสื้อผ้าถูกกำหนดโดยการแสดงลักษณะพิเศษในขณะเผาไหม้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความง่ายในการเผาไหม้และความทนทานต่อการเผาไหม้หลังจากการจุดไฟ  มีองค์ประกอบหลายอย่าง  เช่น ปริมาณเส้นใยผ้า (fiber content) น้ำหนักผ้า โครงสร้างของผ้า  สารที่ใช้ตกแต่งผ้าและการออกแบบผ้าล้วนแต่มีผลต่อความสามารถในการติดไฟของเสื้อผ้าทั้งสิ้น
                    น้ำยาปรับผ้านุ่มลดความสามารถในการขัดขวางไฟ (flame retardancy)  ของเสื้อนอนเด็ก จึงไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม  ยกเว้นกรณีพิเศษที่ได้รับการทดสอบแล้วว่าไม่มีปัญหาเรื่องการต่อต้านไฟ (flame  resistant) ผ้าฝ้ายถ้ายิ่งซักก็จะยิ่งเพิ่มความสามารถในการติดไฟ  สำหรับผ้าใยสังเคราะห์  ความสามารถในการติดไฟจะเพิ่มขึ้นหลังการใช้ครั้งแรก  แต่หลังจากใช้ไป 15 ครั้ง การเพิ่มความสามารถในการติดไฟจะไม่ชัดเจน          
                    6) การเกิดอาการแพ้ที่ผิว (allergy on the skin) เป็นผลที่เกิดโดยตรงกับผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งความเป็นจริงพบว่า ไม่ใช่สารเคมีทุกตัวที่ใช้ในกระบวนการซักผ้าจะถูกกำจัดออกไปได้หมดจากเสื้อผ้าหลังจากการล้างน้ำจนหมดฟองแล้ว  สารเคมีบางตัวในน้ำยาปรับผ้านุ่มยังคงติดอยู่บนผ้าและสามารถรู้สึกได้โดยการสัมผัส เช่น เกิดอาการแพ้ (allergy) และเกิดการระคายเคือง (irritating) หรือทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มเพิ่มโอกาสที่จะเป็นภูมิแพ้แบบไฮโปแอลเลอจีนิค (hypoallergenic)
                    อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาเกี่ยวกับน้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีต่อผิวหนังของผู้ใช้ในอเมริกา  ผลการศึกษาที่ทำกับน้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง (ซึ่งมีส่วนผสมไม่เหมือนกับน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ขายในประเทศไทย)  ปรากฏว่าไม่พบว่าเกิดอาการแพ้  ไม่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการแพ้ (sensitizers) หรือไม่เกิดการระคายเคืองกับผิวหนังเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นประจำ (ในปริมาตรที่กำหนดไว้บนฉลาก) หรือกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่มีผลเสียกับผิวหนังโดยผ้าที่นุ่มจะมีผลดีกับผิวที่แตก (damaged skin)  ผิวของเด็กอ่อน (infant) และผิวแพ้ง่าย (sensitive skin)   ดังนั้นจึงควรทดสอบให้แน่ใจว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้  ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้ที่เกิดจากสารประกอบหลักของน้ำยาปรับผ้านุ่มเองหรือเกิดจากน้ำหอมที่ใช้ใส่ในน้ำยาปรับผ้านุ่มก็ตาม 
                    7) เกิดการจับตัวเป็นก้อน (clump)เหนียวๆ  ผ้าอาจสะอาดน้อยลง ประจุบวกของสารประกอบควอเทอนารีแอมโมเนียมของน้ำยาปรับผ้านุ่มเข้ากันไม่ได้กับประจุลบของของสารซักฟอก ดังนั้นเมื่ออยู่รวมกันในน้ำ   ประจุของสารทั้งสองนี้จะดูดซึ่งกันและกันและจับตัวเป็นก้อน (clump) เหนียวๆ บนผ้าหรือจับตามส่วนต่างๆ ของเครื่องซักผ้า  โดยข้อต่อของท่อระบายน้ำจะเกิดการอุดตันจากก้อนเหนียวๆ นี้  ถ้าผสมกับสิ่งสกปรกจากผ้าที่ซักด้วยแล้วก็จะเห็นเป็นสีเทาดำหรือน้ำตาลดำ  ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการเกิดก้อนเหล่านี้โดยแยกสารทั้งสองชนิดนี้ออกจากกันให้ชัดเจน นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมต้องใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มภายหลังจากที่ล้างผงซัก ฟอกออกจนหมดแล้ว ผ้าที่ซักถ้ายังรู้สึกว่าซักไม่สะอาดหมดจดอาจเป็นเพราะน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใส่ลงไปนั้น ไปเคลือบสิ่งสกปรกที่ยังติดอยู่บนเนื้อผ้า ทำให้สิ่งสกปรกเหล่านั้นเกาะติดเสื้อผ้าแน่นขึ้นและทำให้การซักทำได้ยากมากขึ้นในการซักครั้งต่อไป