ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP
บทสรุป
              เป็นที่ทราบกันว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มมีคุณสมบัติที่สำคัญหลายอย่างที่มีผลโดยตรงต่อผู้บริโภค เช่น ความไม่สบายตัวเมื่อรู้สึกร้อน (thermal comfort) ซึ่งเป็นผลมาจากการลดการส่งผ่านของน้ำ/ไอน้ำ (water vapor transmission) ของผ้าฝ้าย  แต่กลับไม่มีผลกับผ้าพอลิเอสเทอร์ (polyester)  นอกจากนี้น้ำยาปรับผ้านุ่มยังลดความสามารถในการซึมผ่านของอากาศ (air permeability) เนื่องจากน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ติดอยู่บนผ้าฝ้ายจะเป็นตัวกีดขวางการไหลของอากาศระหว่างด้านในและด้านนอกของผ้า (แต่จะไม่มีผลกับผ้าพอลิเอสเทอร์) จากคุณสมบัตินี้ทำให้มีการคิดค้นเสื้อผ้าที่อากาศสามารถซึมผ่านได้ (air permeability) เช่น ชุดกีฬา (sportswear) และเสื้อผ้าที่ใส่ในฤดูร้อน (summer clothes)  ให้ผู้บริโภคได้ส่วมใส่ น้ำยาปรับผ้านุ่มมีคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การลดความสามารถในการส่งผ่านความร้อน (heat transfer)โดยจะทำให้ผ้าเนื้อฝ้ายใส่ไม่สบายในฤดูร้อน เช่น เสื้อทีเชิ้ต (T-shirts) และกางเกงใน และสามารถเพิ่มการติดไฟ (flammability) ได้ในผ้าเนื้อฝ้าย 100 % และผ้าพอลิเอสเทอร์ 100 % ดังนั้นผู้ผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่มควรจะมีคำเตือนในการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มซึ่งไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในเสื้อนอนเด็กและเสื้อผ้าเด็กอ่อน เนื่องจากเสื้อผ้าดังกล่าวควรจะมีคุณสมบัติในการต่อต้านการติดไฟที่ดี  อีกทั้งบริษัทที่ผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่มควรจะเขียนข้อความไว้ที่ขวดของน้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยว่าปลอดภัยที่จะใช้กับเสื้อผ้าชนิดใดบ้าง  เมื่อผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสีย รวมทั้งอันตรายจากคุณสมบัติบางอย่างของน้ำยาปรับผ้านุ่มแล้ว ก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในน้ำล้างสุดท้ายหรือไม่ หรือสามารถเลือกใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มได้อย่างถูกต้องนั่นเอง