ฐานข้อมูลส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP

 

 

       ขิง (Ginger) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber officinale Rosc. อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีการนำมาใช้บริโภคกันมานาน จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับข่า ขมิ้น กระวาน เร่ว มีลำต้นใต้ดินซึ่งมีลักษณะคล้ายฝ่ามือเรียกว่า “เหง้า” เปลือกเหง้ามีสีเหลืองอ่อน เนื้อมีสีเหลืองอมเขียว ขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง ใบเรียง 2 ระนาบ หรือออกเป็นกอ กลีบดอกเชื่อมเป็นหลอด หรือเชื่อมติดกันที่โคน มีเกสรเพศผู้ 1 อัน เกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน 2 อัน คล้ายกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นกลีบปาก ผลแห้งแตก มีเมล็ดจำนวนมาก โดยส่วนต่างๆ มักมีกลิ่นหอม

                 

                                           (ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/828597)                (ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/43180-

                                                                                                                                  แพทย์แผนไทยแนะปชช.กินขิง%20ปรับตัวรับหน้าฝน.html)
 
       สารอาหารที่สำคัญในขิงมีหลายชนิด ได้แก่ ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี เส้นใยอาหารจำนวนมาก รวมทั้งยังมีน้ำมันหอมระเหยที่มีประโยชน์ประกอบด้วยสารสำคัญต่างๆ ได้แก่ ซิงจิเบอรีน (Zingiberene) ซิงจิเบอรอล (Zingiberol) ไบซาโบลีน (Bisabolene) และแคมฟีน (Camphene) สารเหล่านี้จะมีอยู่ในขิงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวิธีการปลูกและช่วงการเก็บรักษา นอกจากนี้ยังมีน้ำมันโอลีโอเรซิน (Oleoresin) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ทำให้ขิงมีกลิ่นฉุนและมีรสเผ็ด ขิงสามารถนำมารับประทานได้หลายรูปแบบ เช่น อาหารคาว อาหารหวาน รวมทั้งยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพได้อีกด้วย โดยน้ำขิงเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าเป็นยาร้อนเหมาะที่สำหรับนำมาดื่มเป็นประจำในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็น เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
 
                              
                           (ที่มา : https://foodtotimes.com/2019/12/ 19/เครื่องน้ำขิงร้อน-เย็น-ช/              (ที่มา : https://market.talad.co/index.php?route=
                                                                                                                                      product/product&path=65&product_id=2532&limit=50)
 
       ผู้บริโภคควรเลือกดื่มน้ำขิงที่มีลักษณะดี ได้คุณภาพตามมาตรฐานกำหนด โดยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำขิง มผช. 1388/2556 ได้กำหนดคุณลักษณะที่ดีของน้ำขิงไว้ดังนี้
              1. ลักษณะทั่วไป ต้องเป็นของเหลวใสหรือขุ่น อาจจะตกตะกอนเมื่อตั้งทิ้งไว้
              2. มีสีที่ดีตามธรรมชาติของน้ำขิงและส่วนประกอบที่ใช้
              3. มีกลิ่นรสที่ดีตามธรรมชาติของน้ำขิงและส่วนประกอบที่ใช้ ไม่มีกลิ่นรสอื่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นแอลกอฮอล์ กลิ่นรสเปรี้ยวบูด
              4. ต้องไม่พบสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่ส่วนประกอบที่ใช้ เช่น เส้นผม ดิน ทราย กรวด ชิ้นส่วนหรือสิ่งปฏิกูลจากสัตว์
              5. สารปนเปื้อน
                    (1) ตะกั่ว ต้องไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
                    (2) สารหนู ต้องไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
                    (3) แคดเมียม ต้องไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
              6. วัตถุเจือปนอาหาร
                    (1) ห้ามใช้สีสังเคราะห์และวัตถุกันเสียทุกชนิด
                    (2) หากมีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ให้ใช้ได้ตามชนิดและปริมาณที่กฎหมายกำหนด (สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/E/178/1.PDF)
              7. จุลินทรีย์
                    (1) จุลินทรีย์ทั้งหมด ต้องไม่เกิน 1x104 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร
                    (2) แซลโมเนลลา ต้องไม่พบในตัวอย่าง 25 มิลลิลิตร 
                    (3)  สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส ต้องน้อยกว่า 10 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร
                    (4) บาซิลลัส ซีเรียส ต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร
                    (5) คลอสทริเดียม เพอร์ฟริงเจนส์ ต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร
                    (6) ลิสเทอเรีย มอนอไซโทจีเนส ต้องไม่พบในตัวอย่าง 25 มิลลิลิตร
                    (7) โคลิฟอร์ม โดยวิธีเอ็มพีเอ็น ต้องน้อยกว่า 2.2 ต่อตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร
                    (8) เอสเชอริเชีย โคไล ต้องไม่พบในตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร
                    (9) ยีสต์และรา ต้องน้อยกว่า 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 มิลลิลิตร
 
       จะเห็นได้ว่า น้ำขิงเป็นเครื่องดื่มทางเลือกชนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ ควรดื่มหลังจากชงร้อนๆ หรือถ้าชอบดื่มแบบเย็นก็สามารถใส่น้ำแข็งเพื่อดื่มแก้กระหาย และอาจเติมน้ำตาลทรายลงในน้ำขิงเล็กน้อยเพื่อให้มีรสชาติดีขึ้น โดยหากรับประทานเป็นประจำจะส่งผลดีต่อสุขภาพ เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาสามารถช่วยบำบัดและรักษาโรคต่างๆ ได้ เช่น บรรเทาอาการหวัด คลื่นไส้ อาเจียน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการข้ออักเสบ ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหารเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนโลหิต ป้องกันโรคมะเร็ง รวมถึงขจัดของเสียออกจากร่างกาย เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง น้ำขิง ได้จากเอกสารภายในสำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยสามารถสืบค้นได้จากฐานข้อมูลระบบห้องสมุดอัตโนมัติในเว็บไซต์ http://library.dss.go.th/ จากคำสืบค้น คือ
                        - ขิง (http://library.dss.go.th/cgi-bin/koha/opac-search.pl?q=ขิง)
                        - น้ำขิง (http://library.dss.go.th/cgi-bin/koha/opac-search.pl?q=น้ำขิง)
 
เอกสารอ้างอิง
ชนิตา  พระดาเวชช. ขิงกับประโยชน์ที่คนรักสุขภาพต้องรู้. ประโยชน์มหัศจรรย์ : ขิง. กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ, 2557, หน้า 1-29.
วิโรจน์  ไววานิชกิจ. น้ำขิง. น้ำดื่มสมุนไพร ใกล้ตัวแต่ไกลโรค. กรุงเทพฯ : เนชั่นบุ๊คส์, 2554, หน้า 61-69.
วิทยา  และคณะ. ความหลากหลายของพืชในกลุ่มขิง วงศ์ Zingiberaceae. กล้วยไม้ ขิงข่า และพืชน้ำมันหอมระเหย ในมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี
       จังหวัดกาญจนบุรี. นนทบุรี : บริษัท เวลท์ ครีเอชั่น แอนด์ เทรดดิ้ง จำกัด, 2561, หน้า 52-55.
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน น้ำขิง มผช.1388/2556. [ออนไลน์]  [อ้างถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2563]. 
       เข้าถึงจาก : http://tcps.tisi.go.th/pub/tcps1388_56(น้ำขิง).pdf